|

RENAISSANCE
ลักษณะห้องมีขนาดกว้างใหญ่ ดูมืดทึม ผนังส่วนมากฉาบปูน ทาสี และเขียนลวดลายเป็นสีหรือตกแต่งด้วย CORDOVAN LEATHER คือการตกแต่งด้วยแผ่นผนังสัตว์ซึ่งมีวิธีการทำ และลักษณะลวดลาย มาจากเมือง CORDOVAN ประเทศเสปน ในสมัยยุคกลาง ซึ่งใช้แผ่นหนังสัตว์มา ตอก แกะ หรือ เซาะเป็นลวดลาย ฝังลายทอง หรือตกแต่งผนังด้วยพรม ที่ทอด้วยมือ ซึ่งใช้กันในสมัยโกธิค มักทอเป็นเรื่องราว มีรูปคน สัตว์ ประกอบอยู่ด้วย การเข้าไม้ผนังแบบของยังคงแต่งด้วยสีสดใสตามแนวตัวคาน ตราประจำราชวงศ์ หรือ ตระกูล ลายกรอบลักษณะรูปไข่ พื้น กระเบื้องสี หินสี หรือ ไม้แล้วแต่สภาพวัสดุท้องถิ่นเอื้ออำนวย
เครื่องเรือนในสมัย RENAISSANCE ของฝรั่งเศส ห้องต่างๆ ในปราสาท มีเครื่องเรือนน้อยชิ้น เครื่องเรือนมีขนาดเทอะทะใหญ่โต และมีลักษณะโครงสร้างตามลักษณะโกธิคเป็นส่วนใหญ่
BAROQUE
สมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถือว่าเป็นยุคทอง ซึ่งเป็นระยะที่แสดงออกของเอกลักษณ์ของสกุลช่างฝรั่งเศสอย่างแท้จริง มีความสง่างามและหรูหราที่สุดการตกแต่งยึดลักษณะอันสวยงามจากสถาปัตยกรรมแบบโบราณ ตกแต่งผนังด้วยกรอบไม้สี่เหลี่ยม เนื้อที่ห้องมีขนาดใหญ่โต เครื่องเรือนมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการตกแต่งด้วยการแกะสลักลวดลายอย่างหรูหรา และใช้สีตัดกันอย่างรุนแรง ส่วนโค้งที่ใช้เขียนโดยเครื่องมือ คือวงเวียน
ศิปะการตกแต่งที่เป็นสมัยบาโรคคือพระราชวังแวร์ซายส์ ห้องโถงมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งออกแบบไว้เพื่อต้อนรับแขกจำนวนมากในงานราชพิธีของกษัตริย์ และ เพื่อให้ห้องนี้เป็นที่รวมลักษณะของผลงาน และเพื่อแสดงถึงความโอ่อ่าหรูหราวิจิตพิสดารแห่งยุคบาโรคของฝรั่งเศส การออกแบบที่มโหฬารการตกแต่งที่มีลวดลายขนาดใหญ่ซึ่งมีลายละเอียด การใช้วัสดุอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย และการใช้ช่างฝีมือ จำนวนมากมาย ในห้องโถงมีส่วนประกอบที่ถาวรเช่น ผนัง เพดาน ประตูและหน้าต่าง เหล่านี้เน้นในเรื่องการพิถีพิถันที่สุด ส่วนสิ่งที่เคลื่อนย้ายได้แต่ละเครื่องเรือนนั้นให้ความสำคัญเป็นอันดับรองลงมา ด้วยเหตุนี้เครื่องเรือนจึงถูกจัดวางไว้ตามริมฝาผนัง ปล่อยเนื้อที่ส่วนกลางไว้ให้ว่างเปล่า การตกแต่งผนังและเพดาน ส่วนใหญ่เป็นภาพเขียนขนาดใหญ่ ไม้แกะลวดลาย พรมทอเป็นรูปภาพ ผนังไม้ลูกฟัก และกระจกเงา
ลักษณะของสถาปัตยกรรมยึดขนาด สัดส่วนและวิธีการของโบราณอันสวยงามไว้ และตกแต่งฐานเสา และคานเหนือเสาลวดลายโลหะชุบทองอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ในห้องทั่วๆไปใช้หินอ่อนทำเสาและผนัง ในส่วนที่ประทับส่วนพระองค์ตกแต่งผนังเป็นไม้ทั้งหมด มีเสาตั้งบนพื้นหรือบนฐานรับเสาซึ่งจะยึดความสูงของฐานเสาเป็นระดับตกแต่งหนังเป็นไม้ทั้งหมด มีเสาตั้งบนพื้นหรือบนพื้นหรือบนฐานรับเสาซึ่งจะยึดความสูงของเสาเป็นระดับตกแต่งผนังส่วนล่างตลอดรอบห้อง การแบ่งช่วงผนังกำหนดให้มีส่วนกลางให้มีความสำคัญมีเนื้อที่ใหญ่ประกอบด้วยผนังขนาดเล็กเท่าๆกันอยู่สองข้าง ช่วงเพดานจรดผนังห้องโค้งลงโดยมีบัวรับบนแท่น บัวหัวเสาเพดานส่วนโค้งรอบห้อง
 
ผนังทั่วไปตกแต่งโดยการเขียนภาพประวัติศสาสตร์ ภาพจากตำนานหรือนิยาย โบราณการตกแต่งผนังอีกลักษณะหนึ่งซึ่งแสดงถึงความหรูหราและฟุ่มเฟือยน้อยที่สุดในระยะนั้นคือการตกแต่งด้วยกระจกเงาขนาดใหญ่และมีกรอบตกแต่งอีกมากมาย ส่วนผนังที่เป็นไม้ ใช้ไม้โอ๊คประกอบด้วยบัวขนาดใหญ่และลวดลายอย่างละเอียด ลักษณะกรอบรูปเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีส่วนบนเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมหรือส่วนของวงและบางห้องมีการเขียนภาพคนหรือดอกไม้ในกรอบนั้น ส่วนบนและสัดส่วนล่างของกรอบแกะสลักลวดลาย มีการตกแต่งส่วนกลางของกรอบด้วยลวดลายรูปวงกลมเป็นลักษณะกรอบล้อมสัญลักษณ์หรือตราประจำห้องต่างๆ ผนังไม้ส่วนใหญ่มีการทาสีผนังด้วยสี ขาวหม่น (OFF WHITE) และตกแต่งให้หรูหราด้วยลวดลายชุบทองเด่นชัด การตกแต่งลักษณะนี้กลายเป็นลักษณะเฉพาะของผนังไม้ในพระราชฐานของกษัตริย์คำว่า บัวเชอร์รี (BOISERIE) ในภาษาฝรั่งเศส และใช้เรียกกันตลอดมา
ประตูหน้าต่างตกแต่งด้วยบัวรอบวงกบโดยใช้บัวขนาดใหญ่ชัดเจน เหนือประตูทั่วไปตกแต่งให้หรูหราด้วยไม้แกะลวดลายตัวเป็นรูปเทวบุตรประกอบด้วยลวดลายช่อดอกไม้ล้อมรอบเป็นกรอบรูปเขียนสีบุคคลสำคัญ เตาผิงมีขนาดใหญ่โตสง่าเป็นจุดเด่นของห้อง ตกแต่งด้วยหินอ่อนสีต่างๆ ประกอบด้วยลวดลายแกะสลักอย่างหรูหรา เหนือเตาผิงมีกระจกเงา หรือบัวลูกฟักทาสีล้อมรอบกรอบด้วยลวดลายตามสถาปัตยกรรมอย่างหรูหรา พื้นเป็นไม้โอ๊คปาร์เก้ทำลวดลายตามขนาดของห้อง หรือ เป็นหนี้เป็นหินอ่อนแผ่นสี่เหลี่ยมสลับสีขาวและดำ ปูทับด้วยพรมขนยาวทอเป็นลวดลายกลมกลืนกับขนาดและลวดลายของห้องแต่ละห้องโดยเฉพาะ
เพดานฉาบปูนทาสีตกแต่งลวดลายกลมกลืนโดยรอบจรดผนังทั้งสี่ด้าน ส่วนของเพดานตรงกลางห้องเขียนเป็นมีรูปเทวดาประกอบกับไฟห้อยกลางห้องซึ่งเป็นแก้วระย้าหรือโคมห้อยซึ่งทำด้วยไม้แกะลวดลายนอกจากมีการให้ความสว่างด้วยโคมระย้าห้อยที่กลางเพดานแล้ว มีการใช้ไฟติดผนังและเชิงเทียนขนาดใหญ่ตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มความสว่างในห้องอีกด้วย
ลักษณะของลวดลายที่ใช้มีทั้งผูกขึ้นมาเองและเลียนแบบจากธรรมชาติ เช่น ลายเครือเถา ลายใบไม้ ดอกไม้ หน้าคน และลวดลายที่ใช้ประจำ คือ เครื่องหมายประจำพระองค์ของกษัตริย์ ซึ่งใช้การแกะสลัก ตราประจำพระองค์ของหลุยส์ที่ 14 LS ออกแบบเป็นอักษรตัวเขียนไขว้กันอยู่ในกรอบรูปประดับอยู่เหนือประตูหรือหน้าต่างหรือในช่วงกึ่งกลางของการตกแต่งผนัง ตราประจำพระองค์ คือ ดวงอาทิตย์มีรัศมีส่องผนัง เครื่องเคลือบดินเผาจากภาคตะวันออก งานประติมากรรมหรือหินอ่อน รูปเขียนใหญ่หรือภาพเหมือนครึ่งตัวและการห้อยพรมทอเป็นภาพขนาดใหญ่ตกแต่งผนังอย่างหรูหรา
REGENCY
สมัยนี้สถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในเริ่มทำกันอย่างประหยัดลงมาก ขนาดของห้องที่ใหญ่โตยังคงทำกันอยู่ แต่การใช้เส้นโค้งอย่างอิสระมากมายแทนการใช้เส้นโค้งของวงกลม ซึ่งเป็นลักษณะเด่นชัดของสมัย รีเยนชี การเปลี่ยนแปลงวิธีใช้เส้นโค้งนี้นำมาใช้ในการตกแต่งผนังและเพดานด้วย ระยะนี้เป็นช่วงเวลาสั้นแห่งการเปลี่ยนแปลงของ หลุยส์ 14 เป็น หลุยส์ 15 จึงไม่มีลักษณะที่เด่นชัดนัก
NEOCLASIC
เป็นสมัยของหลุยส์ที่ 16 ยึด เป็นสมัยที่ย้อนกลับมายึดแนวการนิยมลักษณะธรรมชาติและลักษณะอันเรียบง่าย การออกแบบที่อาศัยเส้นตรงและความโค้งที่แน่นอนจากเครื่องมือ (วงเวียน) มีการฟื้นฟูนำเอาลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมแบบโบราณมาใช้อีก
การตกแต่งในสมัย NEOCLASSIC ยึดลักษณะความสวยงามมีเสน่ห์ของลักษณะแบบโบราณ ลวดลายแกะสลักลวดลายปั้น มีขนาดพอเหมาะงดงาม และมีการใช้อย่างพอเหมาะพอควร ไม่มากมายเกินไป ลักษณะของลวดลายเป็นการเลียนแบบธรรมชาติภาพอุปมาอุปมัย เพื่อให้เกิดความรู้สึกเกี่ยวกับจิตใจ และจากแนวโน้มที่มีการตกแต่งอย่างประหยัดลง ผนังส่วนใหญ่จึงตกแต่งทาสีและปิดกระดาษ (WALL PAPER) หรือห้อยผ้าเท่านั้น
เครื่องเรือนในสมัย NEOCLASSIC มีความเด่นชัดของการใช้ลักษณะเส้นตรง เป็นหลักสำคัญในการออกแบบโดยเฉพาะ ขามีลักษณะตรงเรียว กลม และมีส่วนหัวเหลี่ยม และแกะลายดอกไม้ลงในส่วนเหลี่ยมนั้น โดยให้ลึกจากความสูงของผิวไม้เล็กน้อย ตู้ทั่วไป จะยึดหลักเหลี่ยมผืนผ้าทั้งด้านหน้า และด้านข้าง และมีกรตกแต่งลบมุมต่างๆ ด้วยส่วนโค้ง แกะลายรูปดอกไม้กลมๆหน้าโต๊ะและขอบโต๊ะทั่วไปใช้เส้นตรง กรอบที่นั่งเก้าอี้มีลักษณะตรงหรือวงรี พนักพิงมีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือรูปไข่ ชนิดห้อยผ้าเป็นซุ้มจากเพดานก็ยังคงมีทำกันบ้างในสมัยนี้ โต๊ะทั่วๆไปจะมีหน้าโต๊ะเป็นหินอ่อนส่วนโต๊ะทำงาน หรือโต๊ะเขียนหนังสือ จะกรุด้วยหนัง
ไม้ที่ใช้ในสมัยนี้ ยังคงมีการเล่นลายไม้ด้วย VENEER มีการเริ่มใช้มะฮอกกานี ไม้มะเกลือ เป็นที่นิยมกันมาก การทาสีเครื่องเรือนถือว่าเป็นลักษณะธรรมดา และการลงแลคเกอร์ แบบจีน เป็นที่นิยมและถือว่าเป็นวิธีการที่ มีค่า
REVOLUTION & DIRECTOIRE
ไม่มีความเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงทางศิลปะ เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลง ลักษณะที่เห็นเด่นชัดในสมัยนี้ คือการหยิบนำเอาสัญลักษณ์ต่างๆ ทางการทหารมาใช้ประกอบกับลวดลายและการเขียนภาพจิตรกรรมเกิดความ ดลใจมาจากอาวุธยุทโธปกรณ์ และเครื่องหมายของกองทัพและทหาร เช่น หอก กลอง แตร ปืน ตาว และหมวกของข้าศึกและทหารในสงครามปฎิวัติ
การตกแต่งผนังยังคงใช้ตามเดิม แต่ทำลายละเอียดของโครงสร้างให้ง่ายมากขึ้น การตกแต่งด้วยการแกะสลักมีน้อยมาก การเขียนภาพตกแต่งยึดลักษณะเดิมโดยมีเรื่องราวของคนในสภาพสิ่งแวดล้อมหยาบๆ ผนังมีการทาสี หรือติดกระดาษฝาผนัง รายริ้ว เป็นแถบๆ ผนังบางแห่งมีการตกแต่งด้วยการห้อยผ้าโดยมีลายชนิดเดียวกันติดบังราวอยู่ตอนบนของม่าน ผ้าที่มีลายพิมพ์ก็จะใช้ลายเกี่ยวกับเรื่องราวสงครามปฎิวัติการปกครองเสมอ ผ้าพิมพ์ลายพวกนี้จะใช้ทั้งเป็นผ้าม่านและผ้าหุ้มเก้าอี้
เครื่องเรือนของสมัย DIRECTOIRE เริ่มแสดงให้เห็นลักษณะโครงสร้างโดยเด่นชัดซึ่งได้รับแบบอย่างมาจากเครื่องเรือนของกรีกโบราณ เช่น พนักพิงของเก้าอี้ ทำให้เอนและม้วนออกไปทางด้านหลัง และการทำท้าวแขนของโซฟาให้โค้งม้วนออกทางด้านนอก เก้าอี้ส่วนใหญ่มีขาหน้าโค้งออกไปช้างหน้า และขาหลังโค้งออกไปทางด้านหลัง โครงสร้างและการตกแต่งเครื่องเรือนอีกลักษณะหนึ่ง คือ ทำรูปหัวอียิปต์ หรือหัวชาวกรีก เป็นหัวของเสาเหลี่ยมเรียวลง และปลายเสาทำเป็นเท้าของคน
EMPIRE STYLE
สมัย ของนโปเลียน (NAPOLEON) ลวดลายอียิปส์เป็นหลัก ประกอบด้วย ลักษณะของกรีก โรมัน ในงานสถาปัตยกรรม การตกแต่ง และเครื่องเรือนเรียกว่าเป็นลักษณะ EMPIRE STYLE เกิดขึ้นจาการที่นโปเลียนได้รับชัยชนะและประกาศตัวเป็นจอมจักพรรดิ์ แห่งฝรั่งเศส ลักษณะสำคัญของสมัย EMPIRE นี้ เกิดขึ้นเนื่องจาก ความใหญ่โตทางการเมือง เศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมืองทั่วยุโรปที่เกิดขึ้น ศิลปินช่างฝีมือทั้งหมดทั่วยุโรป ตื่นตัวกับสภาวะการเปลี่ยนแปลง มีการผลิตผลงานทางศิลปะกันอย่างเสรีตามใจชอบ การเคลื่อนไหวของการออกแบบเกิดขึ้นพร้อมกันและดำเนินไปพร้อมกับการผลิตทางโรงงาน ในลักษณะอุตสาหกรรม โดยยึดหลักสำคัญแห่งการผลิตที่รวดเร็วของโรงงานและคนงาน จึงทำให้มีแม้แต่สิ่งที่ประหยัดมากกว่างานที่มีคุณค่าทางศิลปะ ผลงานในสมัยเอมไพร์จึงเป็นผลงานทางศิลปะฝรั่งเศสรุ่นสุดท้ายที่เรียกว่า “ ของโบราณเก่าแก่” ที่แท้จริง
เครื่องเรือนสมัยเอมไพร์ การออกแบบเครื่องเรือน จับลักษณะแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่อยู่ในวงกรอบแห่งความประหยัดในการสร้างหรือผลิต การทำโครงส้างที่ถูกลง คุณภาพของวัสดุที่ใช้ต่ำลงและมีลวดลายน้อลลง แต่ก็ยังที่จะให้มีส่วนแห่งวิญญาณของศิลปะโบราณประกอบอยู่บ้าง เช่น การใช้ลวดลายโลหะชุบทองประดับตกแต่งลงบนแผ่นไม้ รูปร่างทั่วไปมีลักษณะแข็งแกร่งบึกบึน ถ่ายทอดความเป็นบุรุษเพศลงในเครื่องเรือน มีความเรียบง่าย มีสัดส่วนแข็งหนักแน่น มีรูปนอกของเส้นอันแข็งแรง เหลี่ยมมุม ชัดเจน ดูแหลมคม มีความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงดุจเสาหิน ลดบัวและการแบ่งเนื้อที่ด้วยกรอบผนัง เครื่องเรือนใช้งานทั่วไป จะทำเป็นลายไม้เห็นลายเส้นเนื้อไม้ขัดมันด้านบน ด้านข้างเท่านั้น เน้นการสมดุลเป็นหลักในการออกแบบทั่วไป การตกแต่งด้วยลวดลายโลหะชุบทองบนผิวเนื้อไม้มีใช้ทั้งเครื่องเรือนและของใช้สอยทั่วไป
ลักษณะใหม่ของเครื่องเรือน 2-3 ชนิด ที่เกิดขึ้นในระยะนี้ คือ โต๊ะกลม หรือ 8 เหลี่ยม ทำด้วยหินอ่อนซึ่งมีขาตรงกลางขาเดียว มนฐานรูปสามเหลี่ยม โต๊ะบางแบบมี 3 ขา ใช้วัสดุประกอบกันระหว่างไม้และโลหะ ทำขึ้นโดยลอกเลียนแบบจากปอมเปอี เตียงในสมัยเอมไพร์ ทั่วไปออกแบบให้ด้านข้าง ด้านหนึ่ง ติดผนัง และเรียกว่าเตียงเรือ 2 เสา ด้านหลังที่ติดผนังจะสูงกว่า 2 เสา ด้านหน้า และทำยอดเสาเป็นรูปแจกัน แผงหัวและปลายเตียงบางแบบเป็นส่วนโค้งของวงกลม เก้าอี้ โซฟา ใช้ลักษณะขาโค้งแบบกรีก คือขาหน้าตรง ขาหลังโค้ง เก้าอี้บางตัว ขาหน้าและขาหลังโค้งออกด้านนอก การบุเบาะนั่งมีการใช้สปริงส่วนหน้าบนของคอนโซล มีทั้งรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือครึ่งวงกลมกระจกตั้งพื้น มีการยึดแบบติดแกนกลางปรับมุมได้ ไม้ที่ใช้มาก คือไม้ฮอกกานี ไม้เกาลัด และไม้ต้นสน มีการฝังลายเนื้อไม้ด้วย เงินและโลหะหลายชนิด และการแกะเซาะร่อง
|