
ในขณะที่บรรดาแบรนด์เฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปต่างๆ ก็ได้รณรงค์เรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง โดยออกสินค้าที่ผลิตจาก PB แบบ E1 แต่ดูเหมือนว่าผู้บริโภคบ้านจะไม่สนใจกับเรื่องสารพิษเท่าไร คงเป็นเพราะอยู่บนถนนก็มีควันพิษเต็มไปหมดอยู่แล้ว เลยทำให้สินค้าบางส่วนขายยากเพราะราคาของ E1 นั้นแพงกว่า PB แบบปกติมาก ตอนนี้ในแบรนด์ต่างๆ ก็เลยมีสินค้าที่ผลิตจาก PB ทั้งสองแบบมาวางขายปนกันอยู่ ดังนั้น ท่านผู้อ่านคงไม่ต้องแปลกใจแล้วนะครับ ว่าทำไมสินค้าบางประเภทที่มีหน้าตาคล้ายกัน กลับมีราคาขายที่ต่างกันได้
นอกจากนี้ เจ้าผิวกระดาษที่ใช้ก็ยังมีผลต่อราคาสินค้าด้วยเช่นกัน เพราะเฟอร์นิเจอร์ที่ทำขายในห้างลดราคาทั้งหลายจะบางมาก และมีความคงทนต่ำ ซึ่งหากจะเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้น ก็คือกระดาษที่เราใช้เขียนกันอยู่ทั่วๆ ไปนั้น จะมีการเรียกความหนาของกระดาษตามน้ำหนักต่อพื้นที่ เช่น 80 กรัม ก็มักจะหมายถึงกระดาษนี้ 1 แผ่นจะมีน้ำหนักประมาณ 80 กรัมต่อตารางเมตร ซึ่งน้ำหนักกระดาษยิ่งมาก ก็จะทำให้กระดาษมีความหนามากและมีความทนทานสูงและจะทำให้มีราคาสูงขึ้นไปด้วย โดยปกติแล้ว กระดาษมาตรฐานที่เราใช้เขียนหนังสือกัน จะมีน้ำหนักอยู่ประมาณ 80-100 กรัมต่อตารางเมตร แต่ถ้าเป็นร้านถ่ายเอกสารมืออาชีพที่ทำราคาได้ถูกมากๆ ก็จะใช้กระดาษขนาด 60 กรัมหรือน้อยกว่านั้นมาถ่ายเอกสารให้กับลูกค้า
ทีนี้ เจ้าผิวกระดาษที่ใช้ปิดแผ่น Particle Board นั้น มักจะใช้ขนาดประมาณ 30-45 กรัมต่อตารางเมตร คือบางกว่ากระดาษที่ใช้ถ่ายเอกสารกันเสียอีก เพียงแต่ว่าผิวกระดาษเหล่านี้นอกจากจะพิมพ์ลายต่างๆ ลงไปแล้ว ก็มักจะมีการเคลือบสารต่างๆ ลงไปเพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้กับกระดาษด้วย เช่น กัน UV หรือกันชื้น เป็นต้น
โดยเจ้าคุณสมบัติของการกัน UV นั้น ไม่ใช่เพื่อผิวเรานะครับ แต่เป็นการกันไม่ให้รังสี UV มาทำปฎิกริยากับลวดลายและสีที่อยู่ในเนื้อกระดาษ ซึ่งผลส่วนใหญ่ของรังสี UV คือจะทำให้กระดาษมีสีเหลือง ดังนั้น บางครั้งในวงการเฟอร์นิเจอร์ KD จึงมักจะเรียกคุณสมบัติข้อนี้ว่ากันเหลืองไปด้วย
ส่วนการกันความชื้นนั้น เป็นเรื่องใหญ่ของกระดาษเลยทีเดียว เพราะกระดาษไม่ว่าจะมีเนื้อหนาเนื้อแน่นขนาดไหน หากโดยความชื้น หรือน้ำเข้าไปแรงๆ ก็บอกลาได้อย่างเดียวแหละครับ ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์พวกนี้จึงเปราะบางและไม่ทนต่อความชื้นใดๆ เลย พวกแบรนด์ดังๆ ก็เล็งเห็นปัญหาในข้อนี้ จึงได้หาซื้อผิวกระดาษที่สามารถทนทานต่อความชื้นได้บ้าง กล่าวคือ พอน้ำหยดลงไปแล้วรีบเช็ดออกภายในไม่เกินกี่นาที ก็จะไม่ทำให้เกิดอาการบวมของผิว แต่ก็อย่างว่าแหละครับ เพราะเพิ่มคุณสมบัติพิเศษเข้าไป ก็เลยทำให้ราคาของผิวกระดาษสูงขึ้นไปด้วย ดังนั้น ราคาของเฟอร์นิเจอร์แบรนด์เนมทั้งหลายจึงมักจะมีราคาแพงกว่าเฟอร์นิเจอร์ในห้างลดราคาทั่วๆ ไป แม้ว่าจะมีหน้าตาเหมือนกันก็ตาม
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าผมจะเชียร์แต่เฟอร์นิเจอร์แบรนด์เนมนะครับ เพราะราคาของต้นทุนสินค้าที่แพงขึ้นก็ไม่ได้ทำให้ราคาพุ่งขึ้นมาหลายเท่าจากห้างลดราคาแต่ประการใด ราคาส่วนเกินอื่นๆ ก็มาจากค่าเช่าร้านขนาดมหึมา ค่าการตลาด และค่าจ้างพนักงานต่างๆ อีกจิปาถะครับ
ดังนั้น กล่าวโดยสรุปแล้ว ผมชอบเฟอร์นิเจอร์ Knock Down ตรงที่มีราคาถูก ไม่แพงมาก แต่ก็ต้องยอมรับในข้อเสียหลายๆ เรื่องของมันเหมือนกัน อย่างเช่น สารพิษที่แฝงเข้ามาในเนื้อวัสดุ ซึ่งจะไม่มีวันหายไป ยกเว้นแต่คุณจะเอามันออกไปทิ้งนอกบ้าน หรือปัญหาในเรื่องของความแข็งแรง และความคงทนที่มักจะแพ้ทางกับความชื้น ซึ่งบ้านเราก็ดันเป็นเมืองฝนตกซะด้วย
แต่ถ้าผมจะไปสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ Knock Down แบรนด์เนมทั้งหลาย ซึ่งจะมีรูปแบบหลากหลายให้เลือก แต่ก็คงต้องมานั่งทำใจพอสมควรกับราคาที่บวกเพิ่มค่าความสะดวกต่างๆ ที่ใช้เพิ่มยอดขาย เช่น ค่าเช่าร้าน ค่าโฆษณา เป็นต้น